ประโยชน์ ของ หยาดน้ำค้าง (สกุล)

หน้าหนึ่งในข้อเขียนวอยนิชที่แสดงภาพวาดเก่าแก่ที่อาจจะเป็นพืชชนิดหนึ่งในสกุลหยาดน้ำค้าง

ประโยชน์ทางการแพทย์

หยาดน้ำค้างถูกให้ในทางการแพทย์มาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่12 เมื่อแพทย์ชาวอิตาลีจากโรงเรียนแห่งซาแลร์โน (Salerno) ที่ชื่อมัตตาเออุส ปลาเตอารีอุส (Matthaeus Platearius) บรรยายถึงพืชสกุลนี้ว่าเป็นยาสมุนไพรรักษาอาการไอภายใต้ชื่อ "herba sole" มีการใช้กันทั่วไปในประเทศเยอรมนีและทุกๆที่ในทวีปยุโรป ชาที่ทำจากหยาดน้ำค้างถูกแนะนำจากนักสมุนไพรว่าสามารถเป็นรักษาอาการไอแห้งๆ, โรคหลอดลมอักเสบ, โรคไอกรน, โรคหืด และ "อาการหายใจลำบากที่มีสาเหตุจากหลอดลม"[16] จากการศึกษาในปัจจุบันระบุบว่าพืชสกุลหยาดน้ำค้างมีคุณสมบัติบรรเทาอาการไอ[17]

Materia Medica ของคูลเบร์ท (Culbreth) ในปี ค.ศ. 1927 แสดงรายการว่า D, rotundifolia, D. anglica และ D.linearis ใช้เป็นยากระตุ้น และ รักษา หลอดลมอักเสบ, ไอกรน, และ วัณโรค[18] หยาดน้ำค้างถูกใช้เป็นสารกระตุ้นกำหนัดและกระตุ้นหัวใจด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังใช้รักษาการไหม้จากแดดเผา ปวดฟัน[19] และป้องกันเป็นกระ ยาเหล่านี้ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน มีประมาณ 200-300 ชนิดที่ขึ้นทะเบียน ปกติจะใช้ร่วมกับส่วนผสมอื่น ปัจจุบัน หยาดน้ำค้างยังคงใช้ในการรักษาอาการป่วยอย่างเช่น ไอ การติดเชื้อที่ปอด และ แผลในกระเพาะ

ยาแต่เดิมนั้นทำมาจาก ราก ดอก และผล[20] ตั้งแต่หยาดน้ำค้างมีการอนุรักษ์ในหลายๆส่วนของยุโรปและอเมริกาเหนือ การสกัดยานั้นจึงต้องใช้หยาดน้ำค้างที่โตเร็วและได้จากการปลูกเลี้ยง (โดยเฉพาะ D. rotundifolia, D. intermedia, D. anglica, D. ramentacea และ D. madagascariensis) หรือหยาดน้ำค้างที่นำเข้ามาจาก มาดากัสการ์, สเปน, ฝรั่งเศส, ฟินแลนด์ และ ประเทศกลุ่มทะเลบอลติก[21]

ไม้ประดับ

เพราะด้วยความที่มันเป็นพืชกินสัตว์และมีกับดักที่สวยงามแพรวพราว หยาดน้ำค้างจึงเป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อย่างไรก็ตามความต้องการในสิ่งแวดล้อมของหยาดน้ำค้างหลายๆชนิดค่อนข้างจะเข้มงวดทำให้ยากต่อการปลูกเลี้ยง เป็นผลให้หยาดน้ำค้างหลายๆชนิดไม่มีการปลูกเลี้ยงทางการค้ากัน แต่ก็ยังมีอีกสองสามชนิดที่ถูกเลี้ยงทางการค้าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และมักจะพบมันวางขายอยู่ใกล้ๆกับกาบหอยแครง ซึ่งก็มี D. capensis, D. aliciae, และ D. spatulata[22]

ในหยาดน้ำค้างหลายๆชนิด โดยทั่วไปแล้ว ต้องการสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง ปกติจะอยู่ในรูปแบบของเครื่องปลูกที่เปียกหรือชื้นอย่างสม่ำเสมอ หลายชนิดต้องการน้ำบริสุทธิ์ สารอาหาร เกลือ หรือแร่ธาตุในดิน สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตหรือทำให้มันตายได้ ปกติจะใช้เครื่องปลูกเป็นสแฟกนัมมอสส์ที่ยังสดผสมกับที่แห้งแล้ว, สแฟกนัมพีชมอสส์, ทราย, และ/หรือ เพอร์ไลต์ และรดน้ำด้วยน้ำกลั่น, น้ำที่ผ่านกระบวนการออสโมซิสผันกลับ หรือน้ำฝน[8]

อื่นๆ

หัวของหยาดน้ำค้างชนิดที่มีหัวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศออสเตรเลียเป็นอาหารของชนเผ่าอะบอริจิน ชนพื้นเมืองในทวีปออสเตรเลีย[23] หัวบางชนิดก็ถูกนำมาทำเป็นสีย้อมผ้า[24] ขณะที่สีม่วงและสีเหลืองที่ย้อมอยู่บนเสื้อผ้าของชาวสก็อตตามภูเขาสูงได้จาก D. rotundifolia[25] เหล้าที่ทำจากพืชสกุลหยาดน้ำค้าง ปัจจุบันยังคงยังมีการผลิตอยู่ ซึ่งใช้สูตรจากสมัยคริสต์ศวรรษที่ 14 โดยทำมากจากใบสดๆของ D. capensis, D. spatulata, และ D. rotundifolia[24]

แหล่งที่มา

WikiPedia: หยาดน้ำค้าง (สกุล) http://isis.library.adelaide.edu.au/pg/etext04/ins... http://www.growsundews.com http://www.plantarara.com/carnivoren_information/k... http://www.sarracenia.com/faq.html http://www.smugmug.com/search/index.mg?searchWords... http://www.springerlink.com/content/x7151p60502078... http://www.terraforums.com/ib312/ikonboard.cgi?s=d... http://virtuelle.gefil.de/~chrusty/droserakeyeng.h... http://www.wwf.de/fileadmin/fm-wwf/pdf-alt/arten/m... http://www.wwf.de/imperia/md/content/pdf/arten/med...